โรคหอบหืด (Asthma) คือ โรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้เยื่อบุและผนังหลอดลมตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายในและสิ่งแวดล้อมมากกว่าปกติ ส่งผลให้หลอดลมตีบแคบจากภาวะหลอดลมหดเกร็งส่งผลให้หายใจไม่สะดวก มีเสียงหวีด ไอ
แน่นหน้าอก และรู้สึกเหนื่อยหรือหอบ ในบางครั้งอาจมีอาการหอบรุนแรงจนทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
โรคหอบหืดและโรคหืด เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?
โรคหอบหืดและโรคหืดคือโรคเดียวกัน บางครั้งเรียกหอบหืดในกรณีที่มีอาการหอบร่วมด้วย ส่วนในโรคหืดนั้นผู้ป่วยอาจไม่มีอาการหอบ มีเพียงอาการไอเรื้อรัง หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเกิดจากการอักเสบในหลอดลมและมีหลอดลมตีบ แต่ไม่ถึงขั้นหอบ
ปัจจัยกระตุ้น
สารก่อภูมิแพ้ เช่น ขนสัตว์ ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ และควันมลพิษ
มีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
โรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้ โรคถุงลมโป่งพอง และโรคหลอดลมอักเสบ
การออกกำลังกาย
ความเครียด
การรับประทานยาบางตัว เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด แอสไพริน (Aspirin), ยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs และยาลดความดันโลหิตกลุ่มบีตาบลอกเกอร์ (Beta-blocker)
กรรมพันธุ์ ประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหอบหืด โรคภูมิแพ้
อาการบ่งชี้โรคหอบหืด
อาการไอ เฉพาะเวลาออกกำลังกาย อากาศเปลี่ยน หรือเฉพาะตอนกลางคืน
หายใจเสียงหวีด
หายใจติดขัด แน่นหน้าอก หอบ
อาการเป็นมากตอนกลางคืน จนทำให้นอนไม่ได้ หรือตื่นเพราะเหนื่อยกลางดึก
อาการจะกำเริบ เมื่อสัมพันธ์ตัวกระตุ้นต่างๆ (Allergens)
เมื่อใช้ยาหรือพ่นยาขยายหลอดลมแล้วอาการดีขึ้น
มักมีประวัติ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบ
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยโรคหอบหืดโดยซักประวัติ ตรวจร่างกาย ร่วมกับการทดสอบสมรรถภาพปอด
(Pulmonary function test) ซึ่งมีความแม่นยำในการวินิจฉัยภาวะหลอดลมตีบจากหอบหืด
และวินิจฉัยแยกโรคอื่น ๆ ในขณะที่ผลเอกซเรย์ปอดของผู้เป็นโรคหอบหืดมักจะไม่พบความผิดปกติใด ๆ
การทดสอบสมรรถภาพปอด (Pulmonary function test) มี 2 วิธี ดังนี้
การตรวจสมรรถภาพปอดด้วยวิธี Spirometry ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการตรวจวัดปริมาตรของอากาศที่หายใจเข้าและออกจากปอด รวมถึงประสิทธิภาพของปอดในการลำเลียงออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือด โดยแพทย์จะให้ยาขยายหลอดลมและให้ผู้ป่วยหายใจเข้าเต็มที่แล้วเป่าลมหายใจออกให้เร็วและแรงผ่านเครื่อง Spirometer เพื่อวัดค่าปริมาณอากาศที่ผู้ป่วยสามารถหายใจออกใน 1 วินาที เทียบกับค่าปริมาณของอากาศเมื่อหายใจออกทั้งหมด เมื่อนำผลมาพิจารณาประกอบกับอาการของผู้ป่วยก็จะสามารถบอกถึงระดับความรุนแรงของโรคได้
การตรวจ Peak Expiratory Flow (PEF) เป็นการตรวจสมรรถภาพปอดโดยใช้เครื่อง Peak Flow Meter โดยให้ผู้ป่วยสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วเป่าออกให้แรงที่สุดเพื่อวัดค่าความเร็วสูงสุดของลมที่เป่าออกได้ หากค่าที่วัดได้ต่ำกว่าปกติอาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากภาวะหลอดลมตีบ
การดูแลรักษา
การรักษา ประกอบด้วยยากิน ยาฉีด และยาสูดพ่น ขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณาเลือกยาตามความรุนแรงและความถี่ของโรค
ยารับประทานจะออกฤทธิ์ในการรักษาช้ากว่ายาฉีดและยาสูดพ่น มีผลข้างเคียงต่ำ ประกอบด้วย
ยาแก้แพ้ (Anti- histamines drug) , ยาสเตียรอยด์ (Corticosteriod drug), ยาขยายหลอดลม (Bronchidilator drug)
ยาฉีดจะออกฤทธิ์รวดเร็ว แต่ต้องได้รับในระยะเวลาและปริมาณที่เหมาะสม
ยาพ่นมีทั้งแบบบรรเทาอาการ และแบบควบคุมอาการกำเริบ
3.1 ยาพ่นบรรเทาอาการ เป็นยาขยายหลอดลมที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบเฉียบพลัน สามารถพ่นได้ 3-5ครั้ง ห่างกันทุก 5 นาที หากอาการไม่ทุเลาลงให้รีบไปโรงพยาบาล
3.2 ยาพ่นควบคุมอาการ เป็นยาขยายหลอดลมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ออกฤทธิ์นาน
ช่วยการอักเสบของหลอดลม ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ แม้ไม่มีอาการ เพื่อความคุมการกำเริบซ้ำของโรค
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคหอบหืด
โรคหืดเป็นสาเหตุของอาการไอเรื้อรัง กรดไหลย้อนเรื้อรัง และโพรงจมูกอักเสบเรื้อรังได้
ปอดอักเสบ (Pneumonia)
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
ภาวะปอดแฟบ (Lung atelectasis)
ภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute respiratory failure)
ข้อควรปฏิบัติ
เลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นอาการ
การดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายที่เหมาะสม ไม่หักโหม
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การรักษาหรือควบคุมโรคอื่นที่เป็นสาเหตุส่งเสริม เช่น โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ โรคหลอดลมอักเสบ
งดสูบบุหรี่
เมื่อมีอาการควรหยุดทำกิจกรรมนั้น ๆ และนั่งพัก
พ่นยาขยายหลอดลมฉุกเฉินให้ถูกต้องตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
หากพ่นยาติดต่อกัน 3- 5 ครั้ง แต่อาการไม่ทุเลาลงให้รีบไปโรงพยาบาล
พ.ญ. ทิพย์ทิวา นนทมา
Kommentare